วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

พริกรักษาโรค

สรรพคุณ

• ช่วยขับเสมหะ ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง เพราะในพริกจะมีสาร Capsacin
ซึ่งจะสังเกตได้ว่าคนที่ทานพริกเข้าไป จะมีอาการน้ำตา น้ำมูกไหล

• ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดอาการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุขอโรคหัวใจตีบได้

• ช่วยกระตุ้นสมองส่วนกลางให้หลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารสร้างความสุข
ทำให้เกิดการผ่อนคลาย ช่วยให้ความดันโลหิตลดลง

• ช่วยกระตุ้นให้อยากอาหารเนื่องจากพริกจะไปทำให้ต่อมน้ำลายทำงานมากขึ้น
กระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้การอยากอาหาร

แต่ถ้ารับทานมากเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคือง
ในกระเพาะอาหารได้

ที่มา: นิตยสารชีวจิต ปีที่ 6 ฉบับที่ 122 พ.ย. 2546

วัย 50 กินวิตามินเสริมแบบไหน

แร่ธาตุมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย แต่คุณทราบไหมว่า
แร่ธาตุยังช่วย เสริมสร้างส่วนที่เสื่อมลงได้ด้วย ดังนั้น เมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น
เราจึงต้องการแร่ธาตุอย่างพอเพียงมาช่วยเสริมสร้าง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
แล้วในวัย 50 ปีขึ้นไป ต้องการแร่ธาตุตัวไหนบ้าง

อันดับแรกที่นึกถึงคือ แคลเซียม เพื่อรักษาระดับแคลเซียมในกระดูก
และลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน พบมากใน นม เนื้อสัตว์ ปลา ถั่วเหลือง

วิตามิน บี 12 จะช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง และโรคทางระบบประสาท

วิตามิน อี จะช่วยชะลอริ้วรอย ลดอัตราการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ
และโรคที่มักเกิดกับผู้สูงวัย

โครเมียม เป็นตัวช่วยรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ และเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน
จึงช่วยป้องกันโรคเบาหวาน

นอกจากนี้ ยังมี เบต้า-แคโรทีน ทองแดง ไอโอดีน สังกะสี วิตามินซี และแร่ธาตุ
กลุ่มน้อยอย่าง ซีเลเนียม ซิลิกอน วานาเดียม นิเกิล
Caricature of an old man by Leonardo da Vinci ที่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผู้ที่อยู่ในช่วงวัย 50 ปี


เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว การรักษาสมดุลของคุณในวัย 50 ปี
ขึ้นไป ให้มีความแข็งแรงจนหนุ่มๆ สาวๆ อิจฉา
จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป


ที่มา: คอลัมน์ Vitamin Corner นิตยสาร ใกล้หมอ
ปีที่ 30 ฉบับที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549

โหระพา บรรเทาโรคเข่าเสื่อม

คนโดยทั่วไปอาจรู้สรรพคุณของโหระพาแค่เรื่องช่วยย่อยอาหาร แก้อาการจุกเสียด
แน่นท้อง หรือนำมาเป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ถ้าเปิดตำราหนังสือแพทย์จะพบว่า
โหระพามีสรรพคุณมากกว่านั้นคือ สามารถรักษาโรคเข่าเสื่อมได้

โดยการนำโหระพาทั้งต้นไม่ต้องเด็ดรากทิ้ง กะพอประมาณใช้พอกเข่าได้มิด
จากนั้นนำไปล้างให้สะอาด ตำพอละเอียดใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อยคนให้เข้ากัน
ก่อนนำไปตั้งไฟแค่พอร้อน (ไม่ต้องถึงกับเดือด) ทิ้งไว้ให้อุ่น นำไปพอกเข่าประมาณ
10-15 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง

ที่มา: นิตยสาร Lisa weekly คอลัมน์ Health News vol.6 no.42 วันที่ 27.10.2005

เนื้อวัวที่แพงที่สุดในโลก..เนื้อมัทสึซากะ (Mutsuzaka beef)

เนื้อวัวที่แพงที่สุดในโลกไม่ใช่เนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยข้าวโพดจากรัฐวิสคอนซิน
ในสหรัฐอเมริกา แต่เป็นเนื้อวัวพิเศษสุดจากเมืองมัทสึซากะในประเทศญี่ปุ่น
โดยเฉพาะเนื้อตรงที่มีไขมันแทรกเป็นริ้วสีขาวนวลเหมือนเนย สลับสีชมพูสด
ของส่วนที่เป็นเนื้อแท้ เปรียบได้ดังหินอ่อนชั้นดีจากรัสเซีย

ความอร่อยของเนื้อมัทสึซากะอยู่ที่ความนุ่มและมีกลิ่นหอมโดยเฉพาะเมื่อนำมาทอด
บนกระทะเหล็กแผ่นขัดเงา ร้อนจัด ที่เรียกว่า เทปันยากิ หรือเอามาฝานบางๆ
เป็นแผ่นใหญ่โดยมิให้ขาดรุ่งริ่ง แล้วเอามาทำสุกียากี้หรือชาบุ-ชาบุ ใช้ตะเกียบคีบ
จุ่มลงในน้ำแกงจืดร้อนจัดเพียงครึ่งนาที ก็เอามาจิ้มลงในซอสงาบด หรือปอนสุ
แล้วใส่ปาก จะรู้สึกอร่อยจนบอกไม่ถูก

เจ้าของวัวจะดูแลวัวอย่างพิถีพิถันถึง 3 ปี (วัวที่เลี้ยงเพื่อขายปกติจะมีอายุไม่เกิน 2 ปี)
โดยขุนให้อ้วนที่สุด และเลี้ยงในคอกไม้ตอกสลักไม้ประมาณ 2 ต.ร.ม. พอดีตัววัว
ท่อน้ำก็ทำด้วยพลาสติก เพราะเกรงโลหะจะขีดข่วนให้วัวเกิดตำหนิ
และเจ้าของคอกทุกแห่งหวังจะเลี้ยงวัวให้ได้ชนะเลิศแชมเปี้ยน
เพราะจะทำให้ขายวัวได้ราคาสูงเป็นหมื่นๆ ดอลลาร์เลยทีเดียว

ที่มา: หนังสือข้างครัว เล่ม 2 โดย: พิชัย วาศนาส่ง

คาถาวิเศษที่ว่า "อะบราคาดาบรา" มีความหมายว่าอย่างไร

คำๆ นี้มีใช้มาเกือบ 2,000 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยโรมัน คนสมัยนั้นนับถือเทพเจ้าที่เรียกว่า
อะบรักซัส ซึ่งสามารถเป็นโล่ป้องกันวิญญาณชั่วร้ายได้หากสลักนามของเทพเจ้า
ลงบนหินหรืออัญมณีแล้วสวมติดตัวไว้ และยังเชื่อว่าการท่องคาถาอะบราคาดาบรา
จะช่วยรักษาโรคได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นไข้

ในสมัยกลางผู้คนท่องคาถานี้กันบ่อยครั้งเพื่อปัดเป่าโรคภัยร้ายกาฬโรคที่ระบาด
อย่างหนักในยุโรป ทุกวันนี้นักมายากลนิยมพูดคำๆ นี้เวลาจะเสกให้สิ่งของหายไป
หรือปรากฏขึ้นมา หรือใช้ในกลมายาอื่นๆฉะนั้นคำนี้จึงได้สูญเสียความหมายดั้งเดิม
ของมันไปแล้ว อย่างไรก็ดี หากคราวหน้าคุณไม่สบาย
ลองท่องคำนี้ดูก็ได้ .."อะบราคาดาบรา"

ที่มา: หนังสือไขปริศนากล้าถามกล้าตอบ 469 คำถามวิทยาศาสตร์คาใจ
โดย: ชาร์ล เจ. กาโซ
แปลโดย: อุทัย วงศ์ไวศยวรรณ

6 ข้อดีดื่มน้ำบรรเทาหวัด

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ทำให้หลายคนที่ไม่ค่อยได้ดูแล
สุขภาพเป็นพิเศษมักเป็นหวัดได้ง่าย "โรคหวัด" เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้จะเป็นโรค
ที่ไม่ร้ายแรง แต่ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายเนื้อสบายตัว ทำให้มีอาการ
ปวดศรีษะ ตัวร้อน น้ำมูกไหล ไอ จาม มีเสมหะ ถ้าไม่ดูแลรักษาตัวให้ดีอาจก่อให้เกิด
โรคแทรกซ้อนตามมาได้

เมื่อเป็นหวัดแนะนำว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
เพราะน้ำสามารถช่วยเยียวยาร่างกายให้หายจากหวัดได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุที่ว่า..

1. น้ำช่วยละลายเสมหะไม่ให้เหนียว โดยเฉพาะการดื่มน้ำอุ่น
2. ช่วยลดไข้หากไข้ขึ้นสูง น้ำนี่แหล่ะที่จะช่วยทำให้ร่างกายเย็นลงได้
3. ช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
4. ช่วยให้เยื้อบุจมูกที่บุช่องทางเดินหายใจส่วนบนทำหน้าที่ได้ดีขึ้น จึงช่วยลด
อาการคัดจมูก
5. ช่วยป้องกันการติดเชื้อ และอักเสบ
6. ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายฟื้นจากอาการไข้ได้เร็วขึ้น

นอกจากนั้น หากอยากดื่มเครื่องดื่มที่มีรสชาติมากขึ้น แนะนำให้ลองดื่มน้ำผลไม้
ที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำกีวี น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ เพราะวิตามินซีช่วยให้
อาการหวัดหายเร็วขึ้นภาพประกอบจาก http://www.epa.gov/safewater/ccr/psa/images/psa_example.jpg

ส่วนคนที่มีอาการเจ็บคอสามารถบรรเทาอาการโดยใช้เกลือ
ละลายน้ำอุ่นกลั้วคอ 2-3 วันติดต่อกัน
อาการจะทุเลาลงโดยไม่ต้องใช้ยาค่ะ


ที่มา : บริการชีวจิตโฟน นิตยสาร ชีวจิต ฉบับที่ 191
ปีที่ 8 กันยายน 2549

กรรมวิธีทำไอศกรีม ก่อนมีการคิดค้นเครื่องทำความเย็น

นมและครีมแข็งตัวในอุณหภูมิประมาณ -7 องศาเซลเซียส ชาวอาหรับเป็นผู้ค้นพบว่า
การเติมโซเดียมไนเตรต (โพแทสเซียมไนเตรต ส่วนประกอบในดินประสิว) ในน้ำเย็น
ทำให้เกิดปฏิกิริยาดูดซับความร้อน ซึ่งลดอุณหภูมิจนต่ำลงมากพอจะทำไอศกรีม
กรรมวิธีนี้น่าจะเผยแพร่สู่ยุโรปเมื่อครั้งที่ชาวมัวร์ ครอบครองสเปนในปี ค.ศ. 711
ถึง ค.ศ. 1492

" ประวัติศาสตร์ไอศกรีมที่เสิร์ฟในอังกฤษครั้งแรก
เกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองเซนต์จอร์จเมื่อปี 1671
สมัยพระเจ้าชาลสที่ 2 มีเฉพาะผู้นั่งร่วมโต๊ะ
กับกษัตริย์เท่านั้น ที่ได้รับของหวานสุดหรูจานนี้
และพวกเขา จะกินเคียงกับสตรอเบอรี "
ลิซา กรีน ผู้บริหารสูงสุดของสมาพันธ์ไอศกรีม
แห่งอังกฤษ กล่าว

ที่มา: คอลัมน์ สงสัยจริง นิตยสาร สรรสาระ
Reader 's Digest
ฉบับ ธันวาคม 2549
สารส้ม หรือ Alum มาจากภาษาละตินคำว่า.. "Alumen" แปลว่า..
"สารที่ทำให้หดตัว (astringent)" ซึ่งเป็นเกลือเชิงซ้อนของสารประกอบ
ที่มีธาตุอะลูมิเนียม และซัลเฟต เป็นส่วนประกอบหลัก

แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
- อะลูมิเนียมซัลเฟต ลักษณะเป็นก้อนผงสีขาว
- โพแทสเซียมอะลั่ม ลักษณะเป็นผลึกใสไม่มีสี
- แอมโมเนียมอะลั่ม ลักษณะเป็นผลึกใสไม่มีสี
ทุกประเภทสามารถนำไปใช้ประโยชน์แบบเดียวกันได้

กลิ่นที่เกิดจากแบคทีเรียเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรามีกลิ่นตัว ด้วยคุณสมบัติของสารส้ม
ที่ช่วยลดกลิ่นและแบคทีเรีย จึงสามารถนำสารส้มมาใช้กำจัดกลิ่นตัวได้ 100 %
นานถึง 24 ชั่วโมง และยังถ่วงการเกิดกลิ่นได้ไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงอีกด้วย
โดยตัวของสารส้มไม่มีอันตรายต่อผิวหนัง เพราะไม่ได้กลับเข้าสู่ผิวหนัง
จึงไม่เกิดอาการแพ้

ในปัจจุบันนิยมนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวทาที่รักแร้กันมาก
เพราะไม่ทำให้รักแร้ดำ มีหลายแบบ เช่น แบบแท่ง, แบบผงแป้ง, แบบโรลออน
และแบบสเปรย์ ซึ่งมีข้อดีแตกต่างกันไป แล้วแต่ความเหมาะสมที่ผู้ใช้จะเลือกซื้อ

สิ่งที่ควรดูก่อนตัดสินใจซื้อ
- กรณีที่ไม่ใช่ผลึกสารส้ม 100% (มีส่วนประกอบอื่นๆ เช่น สี และกลิ่นด้วย)
ควรเลือกที่มีส่วนประกอบของ อะลูมิเนียมซัลเฟต โพแทสเซียมอะลัม
หรือแอมโมเนียมอะลัม ในปริมาณที่มากที่สุด เพื่อประสิทธิภาพที่มั่นใจได้
- กรณีที่เป็นโรลออน สเปรย์ และผงแป้ง ควรตรวจเช็คสภาพของผลิตภัณฑ์ภาพสารส้มแบบแท่ง จากนิตยสารชีวจิต ฉบับสิงหาคม 2550 หน้า 98
วันผลิต หรือวันหมดอายุทุกครั้ง

แม้ว่าสารส้มจะช่วยระงับกลิ่น แตก็ไม่ได้กำจัดเชื้อรา
ดังนั้นแม้ตัวไม่เหม็นก็ต้องอาบน้ำ ไม่อย่างนั้น
อาจมีโรคผิวหนังประเภทอื่นๆ เกิดขึ้นแทน

ที่มา : นิตยสารชีวจิต,
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=1440,
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=2699

ผมหงอก..ยิ่งถอนยิ่งหงอกจริงหรือไม่

ผลงานวิจัยในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกา ตีพิมพ์ผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ต้มสุกแล้ว จะมีฤทธิ์ในการล้างพิษภายในร่างกายได้สูงกว่าปกติ

ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ และมีตัวที่สำคัญคือ กรดเฟรุลิก (Felrulic Acid) จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)

จากผลการวิจัยพบว่า การต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส มีผลดังนี้

เวลาที่ใช้ในการต้ม ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณของกรดเฟรุลิก
10 นาที เพิ่มขึ้น 22% เพิ่มขึ้น 240%
25 นาที เพิ่มขึ้น 44% เพิ่มขึ้น 550%
50 นาที เพิ่มขึ้น 53% เพิ่มขึ้น 900%

ทำให้สรุปได้ว่า ข้าวโพดหวานที่ผ่านการต้มหรือปิ้ง
มี
ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ และกรดเฟรุลิก
ซึ่งมีประโยชน์สำหรับร่างกายเพิ่มมากขึ้น
เมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเป็นเวลานานขึ้น
แต่จะสูญเสียวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี ไปบ้าง
อย่างไรก็ตามข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับ
วิตามินซีอยู่แล้ว

ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2550, http://www.redcross.or.th/pr, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับ วันอังคารที่ 8 เมษายน 2546, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับ วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2545

เด็กไม่เอาถ่าน เอามาจากไหน

เด็กที่วันๆ เอาแต่เล่นเกมส์ออนไลน์ ไม่อ่านหนังสือเรียน การบ้านก็ไม่ทำ งานบ้านก็ไม่เคยคิดจะหยิบจับช่วยเหลือพ่อแม่ ทานอาหารแล้วไม่รู้จักล้างจานชาม เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างพฤติกรรมของ "เด็กไม่เอาถ่าน"

ทำไมจึงเรียก "เด็กไม่เอาถ่าน" คาดกันว่าคำนี้มีที่มาจากคำเดิม คือ "เหล็กไม่เอาถ่าน" เพราะในสมัยก่อนนั้น การหลอมเหล็กหรือตีอาวุธจากเหล็กให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องใช้ถ่านในการก่อเปลวไฟจนลุกโชน เพื่อให้ความร้อนแก่เหล็ก แล้วถ่านหรือคาร์บอนจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในเนื้อเหล็กหลังจากการถลุง ถ้าเหล็กไม่มีถ่านผสมอยู่เลย เหล็กนั้นจะมีคุณภาพต่ำ ไม่แข็งและเหนียวพอที่จะเรียกว่า เหล็กกล้า แต่หากมีมากเกินไปจะทำให้เหล็กเปราะ เหล็กที่ดีควรมีคาร์บอนเข้าไปผสมอยู่ประมาณ 0.1 - 1.8%

ช่างตีอาวุธจากเหล็กในสมัยโบราณ จำเป็นต้องคิดค้นหากลวิธี เพื่อขจัดปัญหาดาบหัก เพราะแสดงถึงกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ดีทำให้เหล็กไม่เอาถ่าน จนกลายเป็นคำพูดติดปาก เปรียบเทียบนิสัยคนกับอาวุธว่า "เหล็กไม่เอาถ่าน"

ที่มา : หนังสือ ภาษาคาใจ ภาค 3 ถอดรหัสภาษาไทยที่ยัง 'ค้างคาใจ' เขียนโดย สังคีต จันทนะโพธิ